เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ ฝนตกต้องตามฤดูกาล ถ้าตามฤดูกาล ฤดูกาลของเขา สิ่งดำรงชีวิตก็เหมือนกัน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะๆ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะด้วยบุญด้วยกุศลได้เกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้มีการกระทำ มีการกระทำ กรรมดี กรรมชั่ว ว่าเรื่องกรรมๆ เราพูดถึงเรื่องกรรมชั่วเราทั้งนั้นเลยนะ เวลาใครมีความทุกข์ความยาก บอกมันเป็นผลของกรรมๆ
มันก็ผลของกรรมนั่นแหละ แต่เราก็มีทำคุณงามความดีของเรามาเหมือนกัน ถ้าเราไม่ทำคุณงามความดีของเรามาเหมือนกันนะ เราไม่เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนาหรอก จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันต้องเวียนว่ายตายเกิดโดยธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของมัน ธรรมชาติสร้างมาๆ ดูสิ ธรรมชาติมันสร้างมา สิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ธรรมชาติสร้างมา ธรรมชาติก็สร้างมนุษย์มาเหมือนกัน แต่มนุษย์มีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของมนุษย์มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้ามันพอใจของมันก็มีความสุขของมัน ถ้ามันไม่พอใจ มันคัดค้านของมันก็มีความทุกข์ของมัน ความทุกข์ๆ ความทุกข์อย่างนี้ความทุกข์เพราะเกิดตัณหาความทะยานอยาก
แต่เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เราพยายามจะค้นคว้าหาหัวใจของเรา เราจะต่อสู้กับกิเลสในใจของเรา เราก็จะมานั่งสมาธิภาวนากัน มันก็เป็นความทุกข์อันหนึ่ง แต่ความทุกข์อย่างนี้ความทุกข์เพื่อจะพ้นจากกิเลสไง ไม่ใช่ความทุกข์ที่กิเลสมันยื่นให้ ถ้าความทุกข์กิเลสที่มันยื่นให้ มันยื่นให้เรางับเหยื่อ งับเหยื่อไปไม่มีวันที่สิ้นสุด
แต่ความเพียรชอบๆ ความเพียรชอบ ความวิริยอุตสาหะที่จะเอาชนะตนเอง เอาชนะหัวใจของตน เอาชนะกิเลสในใจของตน แล้วชำระล้างกิเลสในใจของตน สำรอกคายกิเลสในใจของตน นี้เป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศน์โอวาทปาฏิโมกข์ เราจะไม่ทำความชั่วใดๆ ทั้งสิ้น เราจะทำแต่คุณงามความดี เราจะทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว เราจะทำจิตใจเราให้ถึงสิ้นกิเลสไป นี่โอวาทปาฏิโมกข์สอนอะไร สอนพระอรหันต์ แต่ถ้าสอนพวกเรา โอ้โฮ! เอาขนาดนั้นเชียวหรือ ทุกคนเวลามาวัดมาวาขึ้นมาแล้วจะนิพพานๆ จะเอาขนาดนั้นเชียวหรือ
นิพพานคือความดับทุกข์ นิพพานคือความสงบเย็นในใจของตน ในใจของตนมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหนก็จะหาความสุขในใจของตนเท่าที่เรามีความสามารถที่จะแสวงหาได้
การแสวงหาของเราการแสวงหาทางโลก ทางโลกเขาแข่งขันกัน โลกต้องมีการแข่งขันเพื่อความเจริญงอกงาม มีการแข่งขันกัน มีการขวนขวาย มีการกระทำขึ้นมา โลกจะเจริญๆ นั่นมันเจริญทางโลกไง แต่มันก็ติดตามมาด้วยฟืนด้วยไฟไง ด้วยการเผาร้อนในหัวใจของตนไง
แต่ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราแสวงหามาสิ่งใดก็แล้วแต่ ถ้าเรามีปัญญามีความสามารถที่เราจะแบ่งปันได้ ถ้าเรามีสติมีปัญญาสามารถที่จะแบ่งปันได้ เราแบ่งปันเพื่อความสงบสุขของสังคม คนอื่นเขาได้ความสุขความเมตตาจากเรา เขาจะมีความสุขจากการเจือจาน จากการให้ของเรา ถ้าการให้ของเรา สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข ถ้าร่มเย็นเป็นสุข น้ำใจของคนๆ มองตาก็รู้ใจไง เวลามองตาของคนที่มีสติมีปัญญา คนที่มีบุญคุณกับเรา มันซาบซึ้ง ซาบซึ้งใจ นี่ค่าของน้ำใจ ถ้าค่าของน้ำใจ เราทำบุญกุศลขนาดนี้เรายังมีความสุขของเราได้ เราเป็นผู้ให้ๆ
แต่ถ้าเวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากขับดันใจของเรา มันบอกว่า “อยู่เฉยๆ ก็จะนิพพาน ไปหาครูบาอาจารย์ก็นิพพาน”...อันนี้มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมไง
วัด วัดเป็นที่ทำบุญกุศล วัดเป็นที่ที่เสียสละ วัดเป็นที่เราจะแสวงหาสิ่งที่เป็นคุณงามความดีของเรา เราไปทำบุญกุศลของเรา การทำบุญกุศล ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ ทำบุญแล้วไม่ได้บุญ
ทำบุญได้บุญแน่นอน สิ่งใดมีการกระทำมันต้องให้ผลแน่นอน ให้ผลชัดๆ แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันมองไม่เห็นไง มันหยาบๆ ไง มันจะเอาลาภสักการะไง โมฆบุรุษตายเพราะลาภ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ครูบาอาจารย์เราที่ประพฤติปฏิบัติมา ตายเพราะลาภๆ ตายเพราะการยกย่องสรรเสริญของคน ตายเพราะคนยกย่องสรรเสริญ มันพยายามจะทำให้เขาพอใจ เวลาจะเทศนาว่าการต้องขออนุญาตกิเลสก่อนแล้วค่อยจะเทศน์
แต่ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตีหัวกิเลสๆ ตีหัวกิเลส กิเลสในใจของเรานี่ไง ความคิดหยาบช้า ความคิดเห็นแก่ตัว ความคิดที่ทำลายคนอื่น ความคิดความหลงที่ไม่เข้าใจแล้วไปกว้านฟืนกว้านไฟมาว่าจะเป็นประโยชน์กับเราๆ ไม่เป็นใดๆ ทั้งสิ้น นี่เพราะอะไร เพราะมันได้สิ่งใดมา คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณมันเหม็นคลุ้งไปหมดน่ะ
แต่คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีเขาเสียสละของเขา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ทุกคนแสวงหาท่านต้องแสวงหาท่านเข้าไป สิ่งที่เราแสวงหาเราได้มาว่าเป็นประโยชน์กับเราๆ มันเหม็นคลุ้งเต็มไปหมด โมฆบุรุษตายเพราะลาภๆ ไง ถ้าเราไม่ต้องการลาภสักการะ เราต้องการสติ เราต้องการสมาธิ เราต้องการปัญญา ถ้ามีสติยับยั้งใจของตน สติมันเท่าทันใจของตนนะ มันจะมีสติตลอดเลย มึงบ้าๆๆ เพราะมันบ้าคิดไง บ้าคิด คิดออกมามีแต่ความบ้าทั้งนั้นน่ะ
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ของเรา นี่กิ่งก้านของธรรม เวลาหลวงตาท่านบอกนะ เช้าขึ้นมาท่านก็เดินจงกรม หลวงปู่มั่นก็เดินจงกรม เดินจงกรมมาเพื่อพิจารณากิ่งก้านของธรรม รากเหง้าคือหัวใจของตน รากแก้ว ลำต้นคือสมาธิของตน ไอ้ความคิดที่มันแว็บๆ แว็บๆ นั่นมันเป็นกิ่งเป็นก้าน เป็นกิ่งเป็นก้านเป็นสาขาของใจที่มันออกมาจากใจ ท่านคิดพิจารณา พิจารณากิ่งก้านของธรรม พิจารณากิ่งก้านของธรรมไง
ถ้าการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา พิจารณากิ่งก้านของธรรม เอามาพิจารณาของเรา ถ้าพิจารณาแล้วมันปล่อยวางหมด มันวาง เช้าขึ้นมา รถของเราใครมีเครื่องยนต์กลไกก็ต้องบำรุงรักษา เขาต้องติดเครื่องมันไม่ให้มันชำรุดเสียหาย ของที่ไม่ได้ใช้เลย เก็บไว้มันจะติดเครื่องไม่ได้ มันจะใช้ประโยชน์ไม่ได้
นี่ก็เหมือนกัน จิตของคน จิตของคนเวลามีสติปัญญาพิจารณาธรรมๆ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ๆ อยู่กับธรรมๆ สัจธรรมในหัวใจของตน การเกิดการดับในใจของตนมันเป็นสัจจะความจริงของมัน นี่มันเป็นสัจจะความจริง พิจารณากิ่งก้านของธรรม ดูแลหัวใจของตน นี่พัฒนา อุ่นเครื่อง เวลาพิจารณา พิจารณาหัวใจ ธรรมเป็นเครื่องอยู่ๆ อยู่กับธรรมๆ มันจะมีความสุขความสงบตลอดไป เพราะมีสติมีปัญญาไง
ไม่ใช่มีข้าวของเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์แล้วก็ไม่มีคนชื่นชมเรา มีแต่ความทุกข์ความยาก ของเรามีมากมายไม่มีใครเห็นความสำคัญของเราเลย ทำบุญก็ไม่ได้บุญ ไม่มีใคร
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่า สอน ๓ โลกธาตุ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านตรัสรู้ในป่า ท่านอยู่ในป่าของท่าน เวลาตกค่ำคืนขึ้นมา เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่นตลอด มาฟังเทศน์ๆ
เทวดา อินทร์ พรหมน่ะ ที่เราอยากเห็นเทวดา เราอยากเห็นโลกทิพย์ต่างๆ เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเพราะอะไร เพราะมีอริยสัจในใจของตน มีคุณธรรมในใจของตน
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมีคุณธรรมในใจ มีธรรมๆ ในใจ ถ้ามีธรรมในใจอยู่ที่ไหนก็มีความสุข ธรรมเหนือโลกๆ เหนือโลก เหนือการคาดหมาย เหนือการจินตนาการของใครทั้งสิ้น
เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานสงบเย็นๆ ถ้าสงบเย็นๆ สงบเย็นก็ควายไง ควายมันกินหญ้าเสร็จมันก็ไปนอนแช่ขี้โคลน เย็น เคี้ยวเอื้องสงบเย็นๆ
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาสอนธรรมะๆ จิตใจต้องค้นคว้าหาใจของตน หาเครื่องอยู่ของตน ใจของตน ใจของตนนี่หาให้ได้ ถ้าใจของตนหาไม่ได้ มันมีแต่เงามีแต่เหยื่อทั้งนั้นน่ะ มีแต่เหยื่อ เราก็ฟุ้งซ่านของเราไปไง
ไปวัดไปวา วัดเป็นสถานที่ที่ทำบุญของชาวพุทธ วัดเป็นที่ของผู้ที่ปฏิบัติธรรม พระ อารามิกชนมันไม่มีบ้านไม่มีเรือน อยู่ในวัดในวา เวลาออกพรรษาแล้ววิเวกไป วิเวกไปที่ไหน วิเวกไปป่าไปเขา ไปป่าไปเขาทำไม
ไปป่าไปเขา ไปป่าไปเขาเพื่อไปประพฤติปฏิบัติ ไปแสวงหาสติปัญญา ไปแสวงหาปัญญาที่จะเอาตัวรอด ไม่ใช่ไปป่าไปเขาเหมือนกับสัตว์ป่า
สัตว์ป่ามันไม่ต้องไป มันอยู่ในป่าในเขา มันเกิดในป่า มันตายในป่า นี่ไง เวลาเราไปป่าไปเขา เราไม่ใช่ไปอยู่เป็นสัตว์ป่า เราเป็นสัตว์มนุษย์ สัตว์ประเสริฐมีสติมีปัญญา แต่เราอาศัยสิ่งที่เป็นสัปปายะ เป็นสถานที่สงบสงัด กายวิเวกเพื่อจะหาจิตที่วิเวก ถ้าหาจิตที่วิเวก นี่ไง เราไปศึกษาค้นคว้าหาสติหาปัญญา เราไม่ใช่ไปอยู่ป่าเพื่อเอาชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ
คนป่าคนดอยเขาอยู่ป่าทั้งชีวิต เขามีความทุกข์ความยาก เขาอยากจะมีความเจริญ เขาอยากมีน้ำใช้ มีไฟฟ้าใช้ เขาอยากมีเครื่องยนต์กลไกไว้ใช้ของเขา เขาอยู่ป่าอยู่เขา เขามีความทุกข์ความยากของเขา แล้วเราประพฤติปฏิบัติเราจะเอาความทุกข์ความยากอย่างนั้นไหม
ความทุกข์ความยากแบบนั้นในสายตาของพระ นั่นคือการเกิด การเกิดและการตายเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง เวลาการเกิดการตายนี่สถานะของมนุษย์ไง ธรรมชาติสร้างมา ธรรมชาติสร้างสิ่งใดมา แล้วเวลาจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันได้สร้างเวรสร้างกรรมของมันมา สร้างเวรสร้างกรรมของมันมา พันธุกรรมของจิตมันก็เกิดตามสภาวะแบบนั้น
เวลากรรมมันจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน การเกิด มนุษย์มีค่าเท่ากับมนุษย์ไง คนป่าคนดอย คนทุกข์คนยาก ถ้าเขาประพฤติปฏิบัติเขาก็เป็นพระอรหันต์ คนร่ำคนรวย คนมั่งมีศรีสุข ถ้าเขาสละของเขา เขาแสวงหาที่ปฏิบัติของเขา เขาก็เป็นพระอรหันต์ มันมีค่าเท่ากัน มันมีกายกับใจเหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาของคนมันแตกต่างกัน เวลาการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเพื่อเอาสติเอาปัญญา ไม่ใช่เอาสถานะของความสูงต่ำมาอวดกัน ความสถานะสูงต่ำมันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นน่ะ
ฉะนั้น เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเขาต้องค้นคว้าหาใจของตน เข้าป่าเข้าเขาไป เข้าป่าเข้าเขาไปเพื่อจะหาจิตของตน หาจิตของตน ถ้าจิตสงบแล้ว มันเห็นสงบ ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่ขาวท่านไปประพฤติปฏิบัติที่เชียงใหม่ เวลาท่านไปสิ้นกิเลสที่ไหน เวลาท่านจะจากที่โคนต้นไม้นั้นมา มันอาลัยอาวรณ์ มันซาบซึ้งถึงบุญถึงคุณไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ เวลาเสวยวิมุตติสุข ยืนเพ่งยืนมองด้วยคุณของเขา เขาให้ความร่มเย็นเป็นสุข เขาให้ความร่มเย็นกับเรา
แต่เรามีหน้าที่ค้นคว้าหาหัวใจของเรา เรามีหน้าที่ใช้สติปัญญาชำระล้างกิเลสในใจของเรา ในที่โคนต้นไม้นั้นมันมีบุญมีคุณ มันมีความซาบซึ้ง นั่นซาบซึ้งแบบโลกๆ นะ แต่เวลาซาบซึ้งในธรรมๆ เวลาหลวงตาท่านปฏิบัติถึงสิ้นกิเลส เวลากราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบครูบาอาจารย์ที่ท่านอบรมสั่งสอนมา กราบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงบุญคุณของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ระลึกถึงครูบาอาจารย์ของเราเป่ากระหม่อมมา เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ถ้าจิตสงบแล้วมันก็รื่นเริง มันก็หลงระเริงว่าเป็นความสุขๆ ของมัน แล้วถ้ามันไม่มีสติปัญญารักษาแล้วเดี๋ยวมันก็จะเสื่อมหมด เวลาเสื่อมหมดขึ้นมาแล้วใครจะแก้ เวลาจิตเสื่อมๆ ใครจะแก้ เวลามันซาบซึ้งบุญคุณครูบาอาจารย์มันซาบซึ้งครูบาอาจารย์ตรงนี้ไง ซาบซึ้ง
ดูสิ เด็กมันร้องไห้ มันไม่มีขนมกิน มันไม่พอใจมันก็ร้องไห้ เราเอาอะไรให้มัน ก็ขนมไง หลอกมันไง เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวชายทะเล แต่เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติจิตมันเสื่อม ใครจะหลอก ใครจะออดจะอ้อน ใครจะดูแล ใครจะพาให้มันพ้นจากการจมอยู่กับความทุกข์อันนั้น
นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านระลึกถึงบุญคุณของครูบาอาจารย์ของเรา เพราะเหตุนี้ไง เราเคยทุกข์เคยยากนะ คนทำงานมาเหนื่อยยากแสนเข็ญ เวลามันได้พักร่มที่อาศัย เราจะได้ความร่มเย็นเป็นสุข เวลาเราจะไปออกเผชิญกับหน้าที่การงานของเรา ละล้าละลังๆ เราจะทำงานอะไร เราทำเป็นหรือไม่ เราไปทำแล้วเรามีกำลังสู้มันหรือไม่
เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ออกไป สู้เขาเถอะ ใช้สติปัญญาของเรา แพ้ก็ไม่เป็นไร แพ้กลับมา เดี๋ยวพลิกแพลงสู้กับมันใหม่ แพ้กลับมา เดี๋ยวอาจารย์จะใส่ยาให้
เวลาโดนกิเลสมันเหยียบย่ำทำลายมา น้ำตาคลอน้ำตาไหลมาเลย มาออดมาอ้อนพ่อแม่ของมัน พ่อแม่ของมันก็ให้ขนม ให้สติให้ปัญญาเข้าไป ไปต่อสู้กับมันใหม่ ต่อสู้กับมันใหม่ มันต้องต่อสู้ ถ้าไม่ต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน พญามารมันครอบครองหัวใจของเรา พญามารๆ นี่
ใครก็ช่วยเราไม่ได้หรอก ได้แต่ปลอบประโลม ได้แต่บอกวิธีการ ได้แต่ให้กำลังใจ แต่เรามีกำลังใจแล้วเราก็กลับไปเผชิญหน้ากับมันใหม่ ไปต่อสู้กับมันๆ ไปต่อสู้กับมัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุลสมบูรณ์ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยครูบาอาจารย์ที่ท่านเคยชี้แนะ ด้วยครูบาอาจารย์ที่ท่านคอยดูรักษา
นี่ไง เวลาไปหาครูบาอาจารย์ เวลาหลวงปู่มั่นท่านให้ไปอยู่ป่านั้นให้อยู่ป่านี้ ให้คำสั่งสอน ให้วิธีการไปแล้ว ไป ไปฝึกหัด ไปพยายามทดสอบ ผิดถูกอย่างไรเอามารายงานอาจารย์ นี่ไง ฝึกหัดปฏิบัติกันมา ไปอยู่ป่าเขาอยู่ป่ากันอย่างนี้ พระป่า พระป่าที่พระปฏิบัติเขาปฏิบัติเพื่อสติเพื่อปัญญา เพื่อประสบการณ์ของจิตที่รู้จริง รู้จริงเห็นจริงในความเป็นจริง
ไม่ใช่รู้จำ รู้จำแล้วกิเลสมันบังเงา กิเลสมันพลิกแพลงแล้ว “อริยสัจเห็นแล้วจะเป็นอย่างนั้น ปฏิบัติแล้วจะเป็นอริยสัจ กิเลสจะขาดอย่างนั้น โอ้! นิพพานสงบเย็น”
สงบ ก็ชื่อเราไง แต่ไม่สงบ ร้อนเป็นไฟอยู่นี่ “สงบเย็นๆ” สงบเย็นก็ควาย ควายมันนอนแช่น้ำ มันเคี้ยวเอื้องหงับๆ สงบเย็น
สงบเย็นด้วยมีสติด้วยปัญญา ด้วยมนุษย์ อยู่ที่ไหนมันก็เป็นธรรม คำว่า “เป็นธรรมๆ” เวลาหลวงตาท่านบอกเลย ท่านพิจารณากิ่งก้านของธรรมๆ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของท่านตลอดเพื่อพิจารณากิ่งก้านของธรรม พิจารณาความรู้สึกนึกคิดในหัวใจของตน นี่ไง ถ้ามีธรรมเป็นเครื่องอยู่ๆ ครูบาอาจารย์ท่านมีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ธรรมในหัวใจนั้นมันสมบูรณ์แบบแล้ว ธรรมอันนั้นมันประเสริฐที่สุด
แต่ธรรมดาของมนุษย์นะ มนุษย์ก็เกิดมาจากพ่อจากแม่ จากพ่อจากแม่นี่เป็นสายบุญสายกรรม พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่ถ้าได้สร้างบุญสร้างกรรมที่ดีมา อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ พ่อแม่ก็ดำรงชีพมา พ่อแม่ก็เพื่อชาติตระกูล เราก็เกิดมาชาติตระกูลของเราเหมือนกัน แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้ามันชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ มันเหนือพ่อเหนือแม่ เหนือพ่อเหนือแม่เพราะอะไร เพราะพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่เราจะเป็นพระอรหันต์โดยสัจจะ โดยอริยสัจจะ โดยวัฏฏะ โดยความเป็นจริงของโลก ของวิทยาศาสตร์ ของธรรม ของสังคม พระอรหันต์แท้ๆ
พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะเป็นความเป็นพระอรหันต์ด้วยบุญด้วยคุณไง ด้วยบุญด้วยคุณ ด้วยการดูแล ด้วยการบ่มเพาะมา ด้วยสายบุญสายกรรม นี่พระอรหันต์ของลูก พระอรหันต์มีบุญมีคุณ กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี คนดีเราก็เคารพพ่อแม่ บูชาบุญคุณของท่าน หน้าที่ของเรา เราก็บำรุงรักษา
แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเกือบเป็นเกือบตาย พ่อแม่ของเราถ้าประพฤติปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ก็ต้องเป็นพระอรหันต์จริงๆ ด้วยมรรคด้วยผล บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล จนถึงสิ้นสุดชำระล้างกิเลสไป นี่พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ ถ้าสอนอย่างนี้ เป็นพระอรหันต์โดยสัจจะโดยความจริง นั่นเป็นพระอรหันต์แท้ๆ
การเป็นพระอรหันต์ของเราเป็นด้วยพ่อด้วยแม่นี่เป็นพระอรหันต์ด้วยบุญด้วยคุณ ด้วยบุญด้วยคุณแล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะผลัดเปลี่ยนกันไป วนเวียนกันไปด้วยผลของเวรของกรรม
แต่การกระทำกรรมดีๆ ขึ้นมา ถอดถอนจนกิเลสตัณหาความทะยานอยากสิ้นไปในหัวใจของตน แวววาว ผ่องใส มีความสุขความสงบในใจของตน แล้วรอเวลา รอเวลาจะลาวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏวน วิวัฏฏะ จบ พอกันที ลาวัฏฏะ ไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะอีกแล้ว เอวัง